Know your consequences

มีหนังอยู่จำนวนหนึ่งของ Ridley Scott ที่มีตีมซ้ำๆ กันจนสรุปได้เป็นคำหนึ่งซึ่งผมไม่รู้จะใช้คำไทยว่าอะไรดี จึงจำเป็นจะต้องทับศัพท์ไปว่า Consequences

และสำหรับ Ridley Scott หนังของเขามักสนุกกับการแสดงให้คนดูเห็น Consequences เหล่านั้นอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำแรกอย่างสนุกสนาน และ (ในหนัง) โดยมากจะเป็นไปในทางลบ แย่ลงเรื่อยๆ แล้วแถมยังยาวไกลไปราวกับไร้จุดสิ้นสุด หนังในกลุ่มนี้ก็เช่น Aliens Trilogy, Thelma & Louise, Body of Lies, Prometheus รวมถึง The Counselor นี่ด้วย

ชอบซีนนี้สุดละ

อันที่จริงผมรู้สึกว่าความหมายสำหรับคำว่า Consequences ในภาษาไทยไม่น่าจะใช่คำว่าผลลัพธ์ หรือบทสรุปเสียทีเดียว เพราะโดยตัวคำว่าผลลัพธ์เองมักสื่อในทำนองว่ามีเพียงหนึ่ง ซึ่งน่าจะตรงกับคำว่า Result เสียมากกว่า และถึงเราจะใช้ Results เป็นพหูพจน์มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเพิ่มขึ้นเท่าไรนัก เพราะ Results นั้นหมายถึงผลลัพธ์จำนวนหนึ่งที่อาจจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ แต่ Consequences ไม่ใช่อย่างนั้น มันหมายถึงผลลัพธ์ยาวๆ ที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จากชิ้นแรกไปถึงชิ้นสุดท้ายโดยไม่มีการข้ามลำดับกัน

และ Consequences เองก็ดูคล้ายๆ กรรมแต่ไม่น่าจะใช่ เพราะกรรมเองก็ถูกจำกัดขนาดโดยสิ่งที่เราทำลงไปว่า “มันจะสะท้อนกลับมาเป็นปริมาณเท่ากัน” และสำหรับคนสมัยนี้ บางทีกรรมก็เป็นแค่คำปลอบใจสำหรับคนที่รู้สึกว่าผลการกระทำเหล่านั้นมันไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เขาเพิ่งทำลงไปเสียหน่อย ทั้งที่จริงๆ  Consequences คือผลต่อเนื่องอันเป็นธรรมชาติเมื่อเราเลือกทำบางสิ่งลงไป ก็แค่นั้น ส่วนมันจะดีหรือไม่ดี นั่นเป็นการเลือกจะให้คุณค่าแก่มันของเราเองต่างหาก

ซึ่งคำอธิบายเรื่องนี้อยู่ในซีนโทรศัพท์เกือบสุดท้าย (ที่ผมชอบสุดละ) มันเหมือนหลายๆ ครั้งที่ในชีวิตคนเรามันไม่มีทางไปต่อ และรอบข้างเราก็มีแค่คำปลอบใจที่ไม่ว่าจะแค่สวยหรูหรือเจาะลึกลงไปถึงสัจธรรมแห่งชีวิตได้ถึงแก่นเลยก็ตาม ณ วินาทีนั้น มันกลับฟังดูแล้วเปล่าประโยชน์จังเลย

Never get to know a movie by its trailers

cameron diaz at her best in the counselor

และนี่เป็นอีกครั้งที่คนพร้อมใจกันโห่หนังเรื่องนี้ เพราะพากันคาดหวังไปแล้วว่าจะได้ดูหนังบู๊แอคชั่นสนองอะดรีนาลีน ว่าด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคมของพ่อค้ายาสามสี่คนในเรื่องเพราะอินไปกับหนังตัวอย่างแล้ว (อย่าเชื่อหนังตัวอย่าง!)

และเป็นอีกครั้งที่นักวิจารณ์เกือบทั้งซอยฟันธงลงเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังมันไม่ดี ไม่ได้พาเราไปสรุปตรงไหนเลย แต่หากข้อสรุปเป็นอย่างนี้เพราะนักวิจารณ์มาดูหนังเรื่องนี้ตามปริมาณความสนุกเท่าที่เห็นในหนังตัวอย่าง นั่นย่อมไม่ใช่ความผิดของหนัง

ขอบคุณเสียงวิจารณ์ในด้านลบที่ทำให้ผมเองก็หยุดคาดหวังกับฉากแอคชั่นไปโดยปริยาย แต่ผมเองก็ประวิงเวลาจะดูฉากบู๊ไปจนหนังผ่านไปแล้วเกือบจะจบเรื่องเหมือนกันถึงเพิ่งแน่ใจว่าตัวเองมาผิดทางจริงๆ หนังเลี้ยงความรู้สึกเราไปเรื่อยๆ แล้วปล่อยให้เราถอดใจในแทบจะสิบห้านาทีสุดท้ายว่าที่แท้นี่ไม่ใช่หนังแอคชั่น ทว่าเป็นดราม่าหมัดหนักที่แจ๊บหมัดเล็กๆ ใส่หน้าเราไปเรื่อยๆ ท้าให้เราสู้ ก่อนจะปล่อยอัพเปอร์คัตขวาลุ่นๆ เข้าที่ปลายคางของเราอย่างจังตอนที่คุณเริ่มแน่ใจแล้วว่าโดนหลอก และนั่นหนักพอจะทำให้เราแหงนมองฟ้าได้ในทันที ไม่ทันได้ฟูมฟาย จนต้องออกมาบอกว่าตัวเอง “ผิดหวัง” กับริดลี่ย์ สก็อตต์ เหลือเกินที่ฉันไม่ฟิน (อิ่มเอมใจ) กับอะไรๆ ในหนังสักอย่างเลย

กี่ครั้งแล้วที่เราโดนหลอกด้วยหนังตัวอย่าง? (โดยเฉพาะหนังไทย) ในฮอลลีวู้ดก็ไม่ต่างกันครับ หนังดราม่าโหดหินหลายเรื่อง และหนังอาร์ตเฮ้าส์จำนวนหนึ่ง ถูกตัดร้อยเรียงใหม่โดยผู้จัดจำหน่ายให้ดูเหมือนหนังแอคชั่นกระทั่งหนังอีโรติค แต่เอาเข้าจริงๆ ราวกับหนังคนละม้วนเลย แต่อย่างน้อยที่สุดเขาเสี่ยงน้อยลง นั่นเป็นสิทธิ์ของผู้จัดจำหน่ายที่จะทำ

และควรเป็นสิทธิ์ของเราด้วยที่จะฟังคำวิพากษ์หนัง แต่เราจะเข้าไปดูในฐานะผู้เริ่มฟังเรื่องราวใหม่ตั้งแต่ต้นว่า “ไหนๆ เล่าให้ฟังใหม่ตั้งแต่ต้นซิ” นั่นคือสิทธิ์ในการจ่ายเงินเป็นร้อยมาเพื่อจะไม่เชื่อสิ่งที่นักวิจารณ์ “เขาเล่าว่า” ต่อๆ กันมา เรามีหัวจิตหัวใจ เราเข้าใจตัวละครในแบบของเราได้เองครับ

Life cannot be undone

ผมเชื่อว่าจุดประสงค์สุดท้ายของ Ridley Scott ที่บอกเล่าในหนังหลายๆ เรื่อง (และจากส่วนหนึ่งที่ยกมาข้างต้น) ที่เล่าถึงหายนะอันเกิดแต่การ “เลือก” ของตัวละครนั้นไม่ใช่การพยายามบอกว่าเราควรสิ้นหวัง แล้วก็ไม่ใช่บอกว่าเราควรเลือกให้ถูกด้วย แต่สิ่งที่เป็นจริงที่สุดสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ คือ “คุณรู้ผลของสิ่งที่คุณต้องเลือกเองดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่คุณต้องยอมรับผลของมัน ไม่ว่าคุณจะจินตนาการผลลัพธ์นั้นเล็กกว่าที่ควรจะเป็นไปแค่ไหนก็ตาม”

เราไม่รู้จักใครจริงๆ หรอกจนกว่าเราจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร (ในชีวิต) หนังพูดเรื่องนี้เต็มๆ

The Counselor เป็นหนังสุดโต่งอีกเรื่องที่เรียกว่าจำเป็นต้องเลือกใช้สถานการณ์ของยาเสพติดในตลาดมืดมาเล่นเพียงเพื่อจะให้ภาพผลกรรมของตัวเอกนั้นเตลิดไปได้ไกลสุดโต่งอย่างที่เราเองก็จะคาดไม่ถึงได้ แล้วมันจะให้ผลทางความรู้สึกเรามากจริงๆ หากเราเกาะติดตัวละครไปเรื่อยๆ จนถึงปากเหว แล้วในตอนนั้นที่ตัวเอกพยายามจะเสี่ยงหรือลุ้นอะไรสักอย่าง แม้จะไม่มีฉากแอคชั่นเลยก็ตามแต่คุณจะรู้เลยว่าคุณลุ้นแทบหยุดหายใจเพียงแค่ตัวเอกจับมือหรือเดินผ่านใครบางคนไป ทุกอย่างเป็นได้ทั้งความหวังหรือผลต่อเนื่องโหดๆ ที่อาจตามมาหลอกหลอนตัวละครได้ทุกวินาที และให้เราได้เห็นด้วยว่าคนที่ตั้งรับมันด้วยความกลัว ไม่กลัว และไม่รู้จะกลัวไม่กลัวดี มีจุดจบแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไรบ้าง? (ซึ่งแน่นอนผมจะไม่สปอยล์)

Cameron Diaz ทำได้ดีในระดับปรกติของเธอ (ทุกครั้งที่เธอเล่นหนังแนวนี้เธอไปไกลขนาดนี้อยู่แล้ว สุดจริงๆ) แคเมอรอน ดิแอซ เป็นผู้หญิงที่ทุ่มสุดตัวในทุกบทที่เธอได้ชนิดไม่ห่วงสวย เธอเล่นเสียจนเราคนดูต้องปลอบใจตัวเราเองว่า นั่นมันแค่การแสดงนะ ไม่ใช่ชีวิตจริงของเธอแน่ๆ (หัวใจจะวาย ha-ha) ส่วน Michael Fassbender ก็ทำให้เราเอาใจช่วยตอนเขาดูสิ้นหวังได้กำลังดี เขาทำให้เราลังเลได้ว่าผู้ชายคนนี้อาจจะมีน้ำยาอยู่ และเอาใจช่วยว่าคงพลิกเกมได้แน่ๆ แต่ลงท้ายเขากลายเป็น The Counselor ที่ต้องรับฟังการให้คำปรึกษาจากคนอื่นแทบจะทั้งเรื่อง (ข้อนี้ฮาดี) และผมเชื่อว่ารายชื่อนักแสดงที่อยู่บนโปสเตอร์เหล่านั้นไม่ได้หลงมาเล่นหนังอะไรที่เขาไม่รู้ว่ามันคือหนังใน Genre ไหนกันแน่ๆครับ พวกเขารู้จริงๆ ว่าเขากำลังจะพาคุณไปดูผลแห่งการกระทำชนิดเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งตรงกับสิ่งที่อยู่ในบทตอนใกล้ๆ จะจบว่า

คุณสร้างโลกของคุณขึ้น และมันจะมีชีวิตอยู่ไปกับคุณ และในวันหนึ่งที่คุณจะจบชีวิตลง หลังวันนั้นโลกส่วนที่คุณสร้างไว้ทั้งหมดมันก็จะมลายหายไปด้วย ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งสิ่งที่เราต้องสนใจก็เลยไม่ใช่ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร แต่เป็นคุณเข้าใจไหมว่ามันต้องเกิดแน่นอน จงจำใจยอมรับและโอบกอดมัน และหากมีสักสิ่งที่คุณอาจจะทำให้ดีขึ้นได้ ณ จังหวะนั้นหรือก่อนหน้านั้นก็อย่าเสียเวลาคิด จงทำ

หรือในประโยคสั้นๆ ประโยคหนึ่งที่เวสต์เรย์ (Brad Pitt) พูดไว้ว่า

“(นายเลือกทางนี้มาแล้ว ก็จง) ทำใจให้คุ้นกับไลฟ์สไตล์ใหม่ได้แล้วเพื่อน”

และคุณรู้สึกอย่างนี้ได้นะ… แต่อย่างแรก -ขอร้องเลย- ลืมทุกประโยควิจารณ์ที่คุณอ่านมา

นี่ไม่ใช่หนังแอคชั่นครับ แต่เป็นหนังดราม่าน่าเบื่อเนื้อหาดีเรื่องหนึ่งเลยเชียวล่ะ

fassbender held penelope cruz picture

Leave a comment

Leave a Reply

%d bloggers like this: