
คำแปล
โคว้ตที่ถูกกล่าวว่าเป็นของ Dave Grohl (เดฟ กรอห์ล) แห่ง Foo Fighters กล่าวในฐานะนักดนตรี ถึงแรงบันดาลใจของการเป็นนักดนตรีของเด็กๆ ทุกวันนี้
ผมเห็นภาพเด็กที่ดูรายการอย่าง อเมริกัน ไอดอล หรือ เดอะ ว้อยซ์ ว่าเขาคงคิดต่อว่า เข้าใจล่ะ! หนทางการเป็นนักร้องนักดนตรีคือการไปยืนต่อแถว 8 ชั่วโมงกับคนที่มีความคิดแบบเดียวกันอีก 800 คน รอเวลาที่คุณจะได้ร้องเพลงอย่างดีที่สุดให้คนไม่กี่คนฟัง เพื่อจะรอฟังคำตอบว่าจริงๆ คุณมันก็ไม่ได้ดีเด่อะไร
เนี่ยนะ? นี่แหละที่ทำลายเด็กรุ่นต่อไปที่ควรจะได้เป็นนักดนตรี นักดนตรี (ในสมัยผม) คือเด็กห่วยๆ แบบที่ไปตามงานเปิดท้ายขายของแล้วเผอิญเดินชนชุดกลองห่วยๆ เข้าชุดนึงเลยซื้อมาไว้ในโรงรถที่บ้านเพื่อตีเล่น แล้วมันก็ไปตามเพื่อนแถวๆ บ้านมาซึ่งก็ห่วยพอกันมาแจม แล้วพวกนี้ก็เริ่มแจมกันเป็นวงแล้วกลายเป็นความสุขที่สุดของชีวิต จนเมื่อพวกนี้มันรู้ตัวอีกที พวกมันเกิดเป็นวงดนตรีชื่อ Nirvana (นีร์วาน่า – นิรวานะ – นิพพาน) และนั่นเป็นเรื่องจริง มันก็แค่เด็กหนุ่มสองสามคนกับเครื่องดนตรีกระป๋องกระแป๋งมารวมหัวกันเล่นดนตรีที่โคตรจะหนวกหูและดูไร้ศิลปะ แต่บั้นปลายมันกลายเป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกวงนึง
เรื่องอย่างนี้มันต้องเกิดขึ้นอีก และมันจะเกิดแม้เราไม่มีอินเตอร์เน็ต หรือรายการอย่าง เดอะ ว้อยซ์ หรือ อเมริกัน ไอดอล
ภาคของผม
คำกล่าวของเดฟ กรอห์ล ถูกครึ่งหนึ่ง ตรงที่ว่ารายการทีวีหรือเรียลิตี้โชว์ใดๆ ก็ไม่ใช่หนทางเดียวของการก่อเกิดศิลปิน หรือเราไม่ควรแม้แต่จะกล่าวด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นวิธีที่ดี
แต่ความจริงของโลกนี้คือนอกจากรายการพวกนั้นแล้ว ไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ก็จะมีการตัดสินความเป็นนักดนตรี นักร้อง หรือแม้แต่นักแต่งเพลงของคุณอยู่ดี ตั้งแต่เพื่อนร่วมงานที่ทำดนตรีให้เพลงของคุณ โปรดิวเซอร์ที่คุณเอางานไปเสนอ เจ้าของค่ายเพลง ดีเจที่จะเปิดเพลงคุณ หรือแม้แต่คนฟังที่เดินผ่านแผงซีดีแล้วเจอปกซีดีของคุณซึ่งมันออกแบบมาไม่จูงใจเอาเสียเลย ทุกที่มีการตัดสินทั้งหมดทั้งสิ้นว่าศิลปะเสียงที่เรารังสรรค์ออกมานั้นควรค่าสำหรับหูของเขาหรือไม่
แต่ส่วนที่ดีที่สุดของโคว้ตนี้ คือการบอกกับคุณว่าไม่เห็นจะต้องแคร์กับทั้งหมดนี้ ถ้าการเล่นดนตรีคือการพยายามบรรลุสู่ความสุขทางศิลปะ หรือแม้แต่มันคือความสุขของการได้ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนเพื่อเรียนภาษาที่ไม่มีใครจะเข้าใจมันได้อีกนอกจากคนในวงเดียวกัน ถ้านั่นคือเป้าหมายของการเล่นดนตรี การที่ดนตรีออกมาดีหรือไม่ดีสำหรับหูใครๆ ก็อาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่คุณพยายามจะไปให้ถึงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และในทางตรงกันข้าม ถ้าเป้าหมายของคุณคือชนะเลิศในรายการเรียลิตี้โชว์ ทุกสิ่งที่รังสรรค์ออกมาจะมีคนช่วยคุณตัดสินดังจำนวนข้างต้น…
นี่อาจเป็นเหตุผลที่บ้านเราไม่มีศิลปินดีๆ ที่มีเพลงที่คุณภาพเท่ากันทั้งชุดมากนัก ไม่มีเพลงโปรโมท ไม่มีจังหวะหยุดเงียบก่อนเข้าท่อนฮุคเพื่อความเก๋า ไม่มีคอร์ด v-I-IV แทนคอร์ด IV เพื่อให้ดูเกาหลี ไม่มีเนื้อที่ทันสมัยเข้ากับยุคที่มีชื่อหรือกิจกรรมทางโซเชียลเน็ตเวิร์คเข้าไปอยู่ในเนื้อเพลงเพื่อให้เด็กจำได้และอยากร้องตาม
ธเนศ วรากุลนุเคราะห์, เพชร โอสถานุเคราะห์, ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์, ปฐมพร ปฐมพร, วงตาวัน, ละอองฟอง, โซล อาฟเตอร์ ซิกส์ ผมพยายามนึกให้ออกในเวลา 15 นาที ผมอาจฟังเพลงมาน้อยเกินไป แต่ผมอยากให้เกียรตินักแต่งเพลงทุกคนที่เพลงเป็นมากกว่าแค่ “เครื่องมือหากิน” ของเขา ถ้าคนเราขายจินตนาการของตัวเองราคาถูกเกินไป จะมีอะไรของเราที่ซื้อไม่ได้อีกเล่า
ที่เหลือต้องยกให้คุณคิด ไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตามในโลกนี้ และจะเข้าใกล้ศิลปะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ใคร ควรเป็นคนกดหันมาเพื่อบอกว่าพอใจในตัวเรา? ใคร ควรเป็นคนตัดสินคุณ?
ขอบคุณมากครับผม ผมเองเป็นคนหนึ่งที่เคยเอาเพลงของ nirvana มาร้องหากินสมัยมหาลัย ผมรู้สึกได้กับความรู้สึกของทั้ง dave growl หรือของหลงเอง ขอแชร์นะครับ