เมื่อถึงจุดที่ชีวิตของเรายุ่งเหยิงจนเราเริ่มหาทางกลับมาในทางของพระเจ้าแทบไม่ได้แล้ว เมื่อนั้นพระเจ้าจะทรงทำบางอย่างเพื่อช่วยคนของพระองค์
ในชีวิตของผมเองมีโอกาสทดลองใช้ชีวิตแบบไม่ฟังคำแนะนำมาแล้วอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องงานการเปลี่ยนงานใหม่ๆ หรือการท้าทายให้ตัวเองทำในสิ่งหรืออาชีพที่ไม่เคยทำ การทดลองหลายครั้งที่พังไม่เป็นท่า หลายครั้งที่เลิกเพียงเมื่อรู้สึกอิ่มตัวหรือได้คำตอบ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องกราบขอบพระคุณหม่าม้ารุ่งนภาด้วยอนุญาตที่ให้ได้ลูกลองทุกครั้งโดยไม่เคยห้ามอะไรเลย
ทุกๆครั้งไม่ว่าผมจะเลือกเองหรือถูกบังคับให้ต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง เรื่องของโยบจะกลับมาเป็นทั้งคำเตือนและกำลังใจ ทำให้อยากกลับไปอ่านทบทวนอีกครั้งเสมอๆ (อาจพูดได้ว่าโยบเป็นพระคัมภีร์เล่มที่ผมอ่านจบบ่อยที่สุดแล้วเพราะถูกจริตกันนี่เอง ha-ha)
When Things Get Out of Control
ท่านมีบุตรชาย 7 คนและบุตรหญิง 3 คน ส่วนทรัพย์สมบัติของท่าน มีแกะ 7,000 ตัว อูฐ 3,000 ตัว วัว 500 คู่ ลาตัวเมีย 500 ตัว และคนใช้มากมาย ดังนั้นชายผู้นี้จึงมั่งคั่งที่สุดในบรรดาชาวตะวันออก บุตรของท่านเคยจัดงานเลี้ยงในบ้านของแต่ละคนตามวันกำหนดของตน พวกเขาจะเชิญน้องสาวทั้งสามคนมารับประทานและดื่มกับพวกเขาด้วย และเมื่องานเลี้ยงเวียนครบรอบแล้ว โยบจะทำพิธีชำระตัวเขาทั้งหลายให้บริสุทธิ์ และท่านจะตื่นแต่เช้ามืด ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวตามจำนวนของเขาทั้งหมด เพราะโยบกล่าวว่า “บางทีลูกๆ ของข้าได้ทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” โยบทำอย่างนี้เรื่อยมา (โยบ 1:2-5 THSV)
ถ้าจะเทียบกับคนทั่วไปผมคงเรียกได้ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต และหากจะเทียบกับชีวิตของโยบตามพระคัมภีร์ ยิ่งพูดได้เต็มปากว่าห่างไกลเหลือเกิน และผมรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คนดีพร้อมสมบูรณ์ มีที่ผมละเลยหลงลืมพระเจ้าในเวลาที่มีความสุข แล้วค่อยมาระลึกถึงพระคุณพระเจ้าได้แบบลึกซึ้งเวลากลับมาตกระกำลำบากอีกครั้ง (แต่เราต่างรู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เราควรเป็น) อย่างไรก็ดี เหตุแห่งการถูกรีเซ็ตชีวิตให้ทุกอย่างในชีวิตกลับไปเป็น 0 ในเรื่องของโยบนั้นเรารู้ได้ค่อนข้างแน่ว่าไม่ได้จะเกิดมาจากข้อนี้ คือเรื่องความความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพระเจ้า แต่ภาพของสิ่งที่โยบลุกขึ้นมาทำในตอนเช้ามืดเพื่อถวายเครื่องบูชาไถ่บาปแทนลูกๆ ของเขาซึ่งเมื่อคืนกินดื่มอย่างสนุกสนานและยังไม่มีใครตื่นนั้นเหมือนสะท้อนปัญหาครอบครัวของโยบในระดับหนึ่งด้วยว่าลักษณะครอบครัวของเขาในตอนนั้นเป็นอย่างไร แม้แต่เมื่อภรรยาของเขานั่งอยู่กับเขาตอนเป็นโรคร้ายหลังสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว และเธอก็ยังกล่าวว่า
แล้วภรรยาท่านกล่าวกับท่านว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ? จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9 THSV)
เราควรแปลกใจว่าถ้าครอบครัวของผู้ติดตามพระเจ้าอย่างโยบ (ที่พระเจ้าถึงกับเอ่ยปากชมเขาโดยพระองค์เอง) ในเวลานั้นแข็งแรงและรักพระเจ้าจริง แม่ของบ้านไม่ควรพูดจาดูหมิ่นพระเจ้าอย่างนั้นหรือเปล่า? ลูกๆ เขาควรตื่นขึ้นมาถวายเครื่องบูชากับพ่อของเขาด้วยหรือไม่? หรือที่ดีกว่านั้นคือครอบครัวนี้น่าจะรักพระเจ้าจนถึงขนาดมีนมัสการพระเจ้าทุกวันแทนการมีปาร์ตี้กันทุกวันมากกว่าหรือเปล่า? (ทุกวันจริงๆ เพราะโยบมีลูกชาย 7 คน และมีการพูดถึงว่างานเลี้ยงถูกกำหนด “ตามวันกำหนดของตน”)
เชื่อว่าวิถีชีวิตแบบที่โยบเป็นอยู่ ณ ขณะนั้นก็คงไม่ใช่อย่างที่โยบอยากให้เป็นสักเท่าไรนัก
In all this Job sinned not, nor charged God foolishly.
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนหนึ่งมาเรียนว่า “ลูกชายกับลูกสาวของท่านกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นอยู่ในบ้านพี่ชายคนโตของเขา และดูเถิด มีพายุข้ามถิ่นทุรกันดารมาปะทะบ้านทั้งสี่มุมจนพังลงทับคนหนุ่มสาว และพวกเขาก็ตาย ข้าพเจ้าคนเดียวได้หนีรอดมาเรียนท่าน” แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ ท่านว่า “ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบไม่ได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้า (โยบ 1:18-22 THSV)
ผมชอบประโยคนี้ที่โยบพูดและจำใส่ใจไว้เสมอ! ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ปลอบใจตัวเองแต่เพื่อให้เรานึกย้อนและเข้าใจทุกอย่างได้โดยไม่มีอคติใดๆ มาบดบัง เพราะหลายครั้งเมื่อชีวิตเราพังทลายลงและเราเริ่มรู้สึกว่าควบคุมชีวิตตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นั่นเป็นเวลาที่เราควรนึกให้ได้อย่างแรกว่าเรื่องทั้งหมดเริ่มผิดเพี้ยนไปหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่เราพูดว่า “ฉันพยายามควบคุมชีวิตของฉัน แต่ทำไม่ได้เลย”
นั่นเพราะเราในฐานะคริสเตียนผู้ติดตามพระเจ้า เราไม่มีสิทธิ์ควบคุมชีวิตของเราเองเลยด้วยซ้ำ ทัศนคติว่า (พระเจ้า)ทรงให้และทรงรับ(เอากลับ)ไปอย่างที่โยบกล่าวนั้น เป็นท่าทีแบบที่พระคัมภีร์บอกว่าเหมาะสม เพราะโดยท่าทีนั้นพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่าถือว่าโยบไม่ได้ทำบาป หรือแม้แต่กล่าวโทษพระเจ้าเลย
ผมฝึกฝนตัวเองเสมอๆ เมื่อความยากลำบากทั้งกายและใจเข้ามาในชีวิต การไม่ปริปากบ่น การไม่ต่อว่าว่าทำไมพระเจ้าถึงให้เรื่องนี้เกิดกับเรา เป็นการพิสูจน์ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าได้อย่างดีที่สุดว่าเรารักพระเจ้าเมื่อมั่งมีและยากจน สุขและทุกข์ เจ็บป่วยและสุขสบายจริงๆ หรือไม่
Reset is GOD’s most precious help.
ลองคิดดูว่ามีกี่ครั้งที่เราแอบคิดขึ้นมาว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงดีสินะ แต่เชื่อไหม? พอเหตุการณ์ย้อนเวลานั้นเกิดขึ้นกับเราจริงๆ (เมื่อพระเจ้าอนุญาตให้เกิดขึ้น) เรามักรับไม่ได้
เมื่อความฝันเราพังทลายลง เมื่อต้องกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดกับธุรกิจ เมื่อฐานะการงานหรืออะไรสักอย่างที่เราบรรจงสร้างมลายหายไปสิ้น เมื่อสุขภาพของเราเหมือนถึงจุดที่ดีที่สุดของมันแล้วและนับจากนี้น่าจะมีแต่ขาลง เมื่อฮาร์ดดิสก์ตัวหลักซึ่งใส่งานของเราทั้งหมดพังลง เมื่อตกงาน จนถึงเมื่อใครสักคนหนึ่งในบ้านของเราเสียชีวิตลง ถ้าเราได้อ่านโยบนั่นคือทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบในย่อหน้าเดียว… แน่นอน ไม่มีฮาร์ดดิสก์พัง ผมเข้าใจ (ha-ha)
โยบจึงน่าจะเป็นตัวแทนเรื่องเล่าของเราทุกคนในฐานะผู้ชายที่ซวยที่สุดในชีวิตที่จู่ๆ พระเจ้าก็อนุญาตให้ทุกสิ่งในชีวิตเขาอันตรธานหายไปพร้อมๆ กัน นี่เป็นแค่ปฐมบทชีวิตของโยบ ซึ่งหลังจากนั้นมีอะไรมากกว่านี้ ทั้งคำถกเถียงในหัวของโยบเอง คำติเตียนก่นด่าปะทะคารมระหว่างโยบกับเพื่อนร่วมทุกข์ (?) ของเขา ไปจนถึงปัจฉิมบทที่พระเจ้าทรงเมตตามาตอบโยบด้วยตัวเองว่า หน้าที่ของเราไม่ใช่การกังวล แค่ขอใหม่ พระองค์ก็จะทรงประทานให้ใหม่ได้ เพราะบรรดาสิ่งที่หายไปนั้นก็ไม่ได้เป็นสาระอะไรสำคัญเหมือนเดิมสำหรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อยู่ดี
แล้วถ้าอย่างนั้นชีวิตที่ถูกรีเซ็ตมีประโยชน์อะไรกับพระเจ้า? ไม่มีเลย ทั้งหมดพระเจ้าทรงทำเพื่อเราทั้งสิ้น แต่ทำไมเราถึงไม่ย้อนดูชีวิตของเราและเปลี่ยนวิกฤตนี้ให้กลายเป็นโอกาสอันดีอย่างที่เราฝัน (อยากจะย้อนเวลาได้) นั่นเล่า? เรากลับเอาแต่บ่นว่าทำไมพระเจ้าทรงทำสิ่งนี้ในชีวิตเรา พระเจ้าไม่รักเราแล้วหรือ…?
อาจต้องปรับกระบวนคิดเสียใหม่ ดีแค่ไหนแล้วที่เรามีพระเจ้าที่ทรงควบคุมชีวิตเราอยู่ แม้แต่จะกดปุ่มรีเซ็ตให้ชีวิตเราพระองค์ก็ทรงทำได้ ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสียเลยล่ะ?