สิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญที่สุดขณะดู Blue Jasmine (Dir. Woody Allen) คือ อารมณ์

The blue, blue Jasmine
อารมณ์ของแจสมิน (ของเคท บลันเช็ตต์) ท่วมท้นฟูมฟายมากมาย ดูแล้วสนุกกว่าจับจ้องไปที่บทหนังหรือส่วนอื่นๆ ในหนังซึ่งก็เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ…
นั่นอาจจะเป็นอีกสาเหตุที่คนส่วนหนึ่งจะแทบไม่พูดถึง production ของหนังเลยว่ามีอะไรดีบ้าง ทั้งที่จริงๆ เก็บดี เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วได้มาตรฐานผู้กำกับวู้ดดี้ แอลเล็น ซึ่งก็เป็นการดี เพราะทำให้เราได้สนใจสิ่งที่ผู้กำกับต้องการสื่อกับเราได้ดียิ่งขึ้น
Anti-Climax
เราติดกับการเชื่อเสียงดนตรีประโคมให้เศร้าในหนังเกินไปหรือเปล่า? หรือบางทีเราลุ้นให้เงียบเพราะเรารู้ว่าเสียงตุ้งแช่ในหนังผีกำลังจะมา…? ชีวิตจริงคนเรามันไม่มีอะไรอย่างนั้นนะครับ และอารมณ์แบบนี้ล่ะที่เรามักพบในหนังของผู้กำกับคนนี้
ชีวิตคนเราเวลาหักมุมก็เหมือนหนังวู้ดดี้ แอลเล็น คือใช้เวลาแป๊บเดียว เป๊าะ! ทุกอย่างหัก ไม่มีไคลแม็กซ์ยาวๆ ไม่มีเวลาให้ฟูมฟายมากมายนัก บางเรื่องที่ได้ดูอย่าง Match Point หรือ Scoop นั้นยิ่งเข้าลักษณะนี้ คือประโยคพลิกเรื่องนั้นอยู่แทบท้ายสุดของเรื่อง พูดออกมาประโยคเดียวแก้ปัญหาเรื่องที่กำลังเกิดแบบ 180 องศา คนดูเหมือนโดนสลัดรักกลางจอ และที่เปรี้ยวไปกว่านั้นคือไม่มีดนตรีประโคมให้พี้คหรือซูมกล้องให้ตกใจในสไตล์บอลลีวู้ด ไม่มีอะไรทั้งนั้น
เที่ยวนี้ที่รู้สึกมากๆ คือในฉากแอนไท-ไคลแม็กซ์เรื่องนี้ ใจผมหายวาบกว่าทุกๆ เรื่องที่เคยดูมาก่อนหน้านั้น เรื่องนี้วู้ดดี้ แอลเล็น เอาจริง และน้ำหนักหมัดนั้นรุนแรง แต่สวยงาม ผมชอบใจ
Emotion is women’s precious treasure
เมื่อดูจบผมพบว่าอารมณ์ของผู้หญิงเป็นสิ่งสวยงามสุดจะบรรยาย

อารมณ์และความรู้สึกของแจสมิน (ผมคิดว่าถ้าจะใช้คำว่า “มันเป็นฟีลลิ่ง” ก็สารัตถะครบดีนะ ha-ha) ทำให้เธอเปล่งประกาย หรือดูน่าเศร้าก็ได้ และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือหนังสื่อความหมายให้เรารู้สึกว่าฟีลลิ่งเหล่านั้นทำให้สิ่งแวดล้อมรอบข้างและชีวิตที่แวดล้อมเธอหดหู่หรือสว่างไสวก็ได้ ปรากฏการณ์นี้เราเห็นได้ทั้งจากชีวิตของแจสมิน และชีวิตและบ้านของจินเจอร์
มีหลายช็อตที่แจสมินสวยจนตราตรึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์แสนแย่ และอีกหลายช็อตที่แจสมินดูแย่เสียจนเราแทบจำเธอไม่ได้กว่าก่อนหน้านี้เธอสวยแค่ไหน (ถึงขนาดว่าสุดท้ายฉันเองก็ถึงขนาดอาจไม่กล้าเข้าใกล้) ซึ่งเคท บลันเช็ตต์ทำได้ดีจริงๆ ผมเชื่อว่าถ้าเป็นดาราคนอื่นๆ ก็อาจจะทำได้นะแต่การตัดสินใจเลือกบลันเช็ตต์นั้นก็คือหนึ่งในการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เธอสื่อออกมาได้ชัดเจนด้วยการแสดง ด้วยอารมณ์ และด้วยความสวยของรูปร่าง หน้าตาในหลายๆ ช็อตก็ยิ่งทำให้ภาษาหนังมีความหมายมากยิ่งขึ้นอีกถ้าเราจะสังเกตเห็น
Emotions are real, but acts may vary
เที่ยวนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบ คือวิธีการเล่าเรื่องแบบคู่ขนานกันไประหว่างเรื่องปัจจุบันกับอดีตที่ปล่อยให้เราหลงเข้าใจอะไรๆ ไปเองหลายอย่างหากเราตามอารมณ์ของเธอไป ทั้งๆ ที่แต่ต้นหลายๆ คนในเรื่องเองก็จะเตือนคุณอยู่เนืองๆ แล้วว่าต้องระวังอารมณ์ของแจสมินไว้บ้างนะ โดยกลวิธีนี้ผมคิดว่าเหมาะกับการเล่าเรื่องในเที่ยวนี้ เพราะด้วยองค์ประกอบที่สำคัญของเรื่องนี้ที่ว่าด้วยอารมณ์ของผู้หญิงที่ดูจะแกว่งไกวไปมา ขึ้นลงได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าคุณบังเอิญไม่ศรัทธาในความเป็นผู้หญิงสักเท่าไรคุณอาจรู้สึกดีกว่าเมื่อบทสรุปออกมากลายเป็นว่าการเชื่ออารมณ์ของผู้หญิง ณ ขณะปัจจุบันนั้นทำให้คุณเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างผิดเพี้ยนไปได้มากพอสมควรทีเดียว

กลับมาในชีวิตจริงของคนเรา เวลาผมต้องปลอบเพื่อนหญิงที่มีปัญหาในเรื่องความรักเรามักจะเจอปัญหาเดียวกันกับเรื่องนี้ เมื่อเราพบเธอในสภาพย่ำแย่ และเธอต้องการเรา เธอพร้อมจะเล่าทุกอย่างที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ให้เราฟัง เราฟังและคิดตามไปกับเธอว่าทำไมโลกช่างโหดร้ายกับเธอเช่นนี้ และเราฟังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายเราค้นพบว่ามันมีอะไรแปลกๆ ที่ปลายทาง และเราไม่ค่อยแน่ใจเสียแล้วว่าชิ้นส่วนในภาพของเรื่องที่เล่าอยู่นี้ครบถ้วนจริงแล้วหรือไม่?
กรรมวิธีสมมติให้เราเห็นความจริงและความเศร้าในปัจจุบันกับการค่อยๆ เล่าเรื่องในอดีตให้คู่ขนานกันไปจะทำให้เราได้ข้อมูลในลักษณะเดียวกันเช่นเหตุการณ์ข้างบนนี้ เหมือนเราได้เจอเธอ ได้เดินไปกับเธอ ได้เห็นสภาพของเธอและได้ยินเรื่องที่เธอเล่า กระทั่งบางคำถามของเราไปสะกิดใจของเธอจนทำให้เราได้ข้อมูลชิ้นใหม่ออกมา
Respect her authority!
อย่างไรก็ตาม วู้ดดี้ แอลเล็น ไม่ได้สรุปว่านี่คือความผิดของผู้หญิง การที่เธอจะทำอย่างนั้นก็เป็นสิทธิที่เธอจะจัดการอย่างไรก็ได้ นั่นเพราะอารมณ์เป็นของเธอ อารมณ์ เป็นสมบัติอันล้ำค่าที่สุดเท่าที่ผู้หญิงจะพึงมีทั้งในวันที่แสนสุขและวันที่แสนเศร้า ทั้งในวันที่เพื่อนรายล้อมและในวันที่ไม่มีใคร แล้วทำไมเธอจะจัดการกับทรัพย์สมบัติชิ้นเดียวของเธอนี้ในแบบที่เธออยากจะทำโดยไม่ต้องมีจรรยาบรรณหรือหลักคิดใดๆ ของคนอื่นมาเกี่ยวข้องเลยไม่ได้?
ดูหนังจบผมชอบตรงที่ผมคิดเอาเองว่าผู้กำกับเองให้เกียรติผู้หญิงมากๆ ความซื่อสัตย์ที่พยายามเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างยุติธรรมที่สุด (ในสายตาผู้หญิง) และความพยายามอย่างมากที่จะสื่อสารว่าการที่ผู้หญิงเป็นอย่างนี้ล้วนเป็นหนึ่งในความงามของอิสตรีที่จำเป็นต้องมีผสมผสานอยู่ ลองจินตนาการว่าเราอยู่กับผู้หญิงที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึกสิ นั่นจะน่าเบื่อสักขนาดไหน? ดังนั้น คุณผู้ชายครับ หรือเราควรดีใจและภูมิใจที่ผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเรายังดูมีอะไรให้ค้นหาอยู่ตลอดเวลาเพราะว่าเธอยังแสดงอารมณ์เหล่านั้นใส่เราไม่เคยหยุดหย่อน ไม่เคยนิ่งหรือควบคุมมันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะเลยแทบจะตลอดเวลา? หรือจริงๆ แล้วมันดีที่เธอไม่เคยเพิกเฉยหรือเลิกแสดงออกผ่านอารมณ์ของเธอต่อเรา? (ผมคิด – เพราะเมื่อเรื่องทำนองนั้นเกิดขึ้นโดยมากผู้หญิงคนนั้นมีแนวโน้มจะหมดรักหรือหมดความสนใจในตัวเราไปแล้ว)
หนังอาจแนะนำว่าเราควรให้โอกาสเธอได้แสดงอารมณ์ของเธอ อย่าขัดอย่าขวางมากไป และถ้าเราจะใส่ใจแก้ปัญหาให้เธอบางทีอาจจะดีกว่าถ้าเราจะแก้อะไรก็แก้ไป แต่อย่าไปเสียเวลาแก้อารมณ์ของเธอเลย เพราะนั่นน่าจะเป็นของเล่นแห่งความสุขของเธอเพียงชิ้นเดียวที่เธอรู้สึกว่าเป็นเจ้าของมันจริงๆ และดูจะเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่งที่เราจะเอามันไปจากมือผู้หญิงคนไหนๆ เลย
All pictures were copied from woodyallenpages.com by me with no permissions