28 มีนาคม เวลาประมาณ 22:00 น. เป็นเวลาที่ผมตัดสินใจจะเลิกเสพย์ social network ให้ได้ และครั้งนี้เป็นครั้งที่จริงจังที่สุดตั้งแต่เคยตัดสินใจมา

Twitter, Facebook, Instagram นั้นเป็นรายชื่อ social network ที่จะต้องเลิกให้ได้แน่นอน ส่วน Pinterest ที่ผมใช้เป็นเพียงคลังหนังสือ reference เรื่องงานดีไซน์ กับ LINE ซึ่งมีเฉพาะเพื่อนและคนที่ติดต่อได้จริงนั้นถือว่าอยู่นอกเหนือเงื่อนไขซึ่งเป็นปัญหาจึงไม่รวมอยู่ในการเลิกเสพย์ด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็จะเพลาๆ ลงครับและจะพูดถึงความแตกต่างต่อไป

เริ่มกันที่อาการป่วยก่อน

ผมติดทวิตเตอร์ (Twitter) ด้วยอัตราการโพสต์เฉลี่ยแล้วเกิน 24 ครั้งต่อวัน ความถี่คือเกือบทุกวัน ตามอ่านทวีตของคนอื่น (follow) ประมาณ 260 คนที่เกินครึ่งทวีตอย่างน้อยหนึ่งครั้งในหนึ่งวัน ส่วนเฟซบุ๊ค (Facebook) นั้นทำอะไรไม่มากแต่ก็ไม่ค่อยเจอตัวเลขสีแดงที่แสดงข้อความที่ยังไม่ได้อ่านบ่อยเท่าไร นั่นแปลว่าเข้ามาถี่มาก ส่วนอินสตาแกรม (Instagram) นั้นผมเลือกลงเฉพาะภาพที่ถ่ายอาหารจากด้านบนที่สวยสวยงามให้เป็นชุดเดียวกัน ผมใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อเนื่องมาแล้วอย่างน้อย 3 ปี และครั้งสุดท้ายที่ได้ยินคนอยากให้ผมเลิกเล่น Twitter (เพราะผมไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลย) ก็คือสัก 7-8 เดือนที่ผ่านมานี้เอง

ตัดสินใจเลิกเล่น เพราะวิดีโอ 2 ตัว

@rotsumo เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ใช้ Twitter ด้วยแต่ทวีตนานๆ ที (เมื่อมีปัญหาชีวิต ha-ha) ในคืนเดียวกับที่ผมตัดสินใจนั้นเธอทวีตลิ้งค์หนึ่งมีชื่อลิ้งค์เป็นภาษาอังกฤษว่า “สิ่งที่ Facebook ทำต่อคุณและผลที่คุณคาดไม่ถึง” แรกทีเดียวผมไม่สนใจสักเท่าไร แต่เพราะผมพอรู้จัก @rotsumo เป็นการส่วนตัวแบบที่เป็นคนจริงๆ จึงค่อนข้างแน่ใจว่าเรื่องน่าจะน่าสนใจ จึงลองเปิดลิ้งค์ดู เป็นวิดีโอขนาดความยาว 5 นาทีที่ชื่อว่า The Innovation of Loneliness หรือ นวตกรรมแห่งความเดียวดาย

หลังจากดูวิดีโอจบผมหยุดคิด รู้สึกทึ่งกับเหตุผลที่บทความเลือกใช้ซึ่งสำหรับผมฟังดูมีน้ำหนักทีเดียว ผมเจอลิ้งค์อีกอันหนึ่งใกล้ๆ กันที่วิดีโอบอกไว้ว่าอ้างอิงเนื้อหาบางส่วนมาผมจึงเปิดเข้าไปดู คราวนี้เป็นวิดีโอจาก TED Talks ที่คุ้นเคยความยาวประมาณ 20 นาที

เนื้อหาของวิดีโอชิ้นที่สองยิ่งให้ภาพที่ชัดมากกว่าเดิม และผมรู้สึกมากว่าไม่ใช่ผมคนเดียวเท่านั้นที่อาจกำลังป่วยเพราะ social network อยู่ แต่คนหนึ่งในบ้านที่กำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เล่น social network เป็นบ้างเพียงเพื่อจะได้ส่งข้อความหาลูกบ้างคือแม่ของผมเองนั้น อาจจะกำลังส่งสัญญาณไม่ดีบางอย่างให้ผมรู้ตัวแล้วก็ได้ว่า ความสัมพันธ์แบบมนุษย์ดั้งเดิมของบ้านเราอาจจะกำลังเข้าสู่ภาวะย่ำแย่แล้วก็เป็นได้

เมื่อพ่อแม่ของคุณเริ่ม LINE หรือ tweet นั่นเป็นสัญญาณอันตราย

ผมเคยคิดว่าการที่แม่เล่น LINE ส่งสติ๊กเกอร์ได้บ้างนั้นเป็นเรื่องดีเพราะช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์ และดีที่แม่พิมพ์ดีดไม่ค่อยได้ จึงยังต้องใช้วิธีพูดข้อความเสียงแทน แต่แน่นอน โดยสามัญสำนึกนั้นสิ่งเหล่านี้แทนความสัมพันธ์ในบ้านไม่ได้ ถึงเวลาที่ผมต้องสมานความรู้สึกนี้ให้คนในครอบครัวให้เหมือนเดิมด้วยการลงมือทำแบบเดิม ซึ่งต้องไม่ใช่ไม่ใช่การใช้เครื่องมือเหล่านี้เข้ามาทดแทน

เลิกเล่นเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตและหน้าที่การงาน

เหตุผลอีกข้อที่ผมรู้สึกได้หลังการตั้งปณิธานกับตัวเองเรื่องนี้เมื่อคืน คือผมพบว่าผมน่าจะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น พักนี้มีหนังสือเกี่ยวกับหน้าที่การงานใหม่ที่ผมควรอ่านให้จบให้ได้ และการประหยัดเวลาทำบางเรื่องที่สาระน้อยกว่าลงบ้างก็อาจช่วยให้ผมได้เวลากลับคืนมาเยอะมากทีเดียว

เช่นเดียวกับคนเก่งๆ มากมายที่ผมตามอ่านความคิดของเขาในทวิตเตอร์ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นไม่ค่อยจะได้โผล่มาพิมพ์ข้อความอะไรนัก บางทีการทำอย่างนั้นน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมกว่าสำหรับการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้ นี่เป็นความคิดจากคนที่ลองมาแล้วหลายอย่างแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องใดๆ เลย

เลิกเล่นเพราะเพิ่งเข้าใจด้านที่ร้ายและด้านดี

จากวิดีโอเรื่องข้างบนทำให้ผมรู้สึกได้ทันทีว่า social network เองก็เป็นแค่อุปกรณ์ และเป็นธรรมดาของอุปกรณ์ที่จะเป็นดาบสองคมคือมีทั้งด้านที่ดีและด้านที่แย่ ซึ่งด้านที่แย่ของเรื่องนี้นั้นสามารถลุกลามไปจนถึงสภาพจิตใจของคนได้… เป็นเรื่องน่ากลัวเกินกว่าจะเล่น ผมจึงรู้สึกว่าการรู้ตัวว่ากำลังมีปัญหา และการถอยออกมามองพฤติกรรมอย่างเข้าใจก่อนจะปรับให้ชีวิตกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีได้นั้นไม่ใช่แค่สำคัญ แต่จำเป็นต้องทำ และถ้าทำได้ก็ควรทำทันที

ผมจะปรับวิธีการใช้ social network ของผมซึ่งก็ไม่ได้ใกล้เคียงวงสังคมในชีวิตจริงของเราสักเท่าไรนัก ให้เหลือหน้าที่เป็นเพียงแค่เครื่องมือสื่อสารแทน – นี่คือเราจะเปลี่ยนมันให้เป็นเพียง social media เท่านั้น

social network เท่ากับ และไม่เท่ากับ social media

social media ก็คือ social network แต่ต่างกันที่วิธีการใช้ และคนที่ได้รับอิทธิพลจากมัน

คนที่ได้รับอิทธิพลจาก social network คือตัวเราเอง เพราะนั่นหมายถึงเราใช้วงสังคมนี้เพื่อตอบสนองการมีอยู่ของตัวเอง ในขณะที่หากเราเลือกปรับหน้าที่ให้มันเป็นเพียง social media คนที่จะได้รับอิทธิพลจากสื่อตัวนี้ก็คือคนที่ติดตามเรา เพราะเราใช้มันเป็นเพียงเครื่องมือเพื่อเผยแพร่เท่านั้น ไม่ได้หวังผลด้านการเยียวยาจิตใจสำหรับตัวเราเองอีกต่อไป

ใช้ social network อย่าเล่น social network

ไม่มีประโยชน์ที่เราจะถ่ายทอดข้อความหรือความคิดอันไร้สาระของเราลงในสื่อสังคมออนไลน์ แต่จะมีประโยชน์มากถ้าเราจะถ่ายทอดข้อความอันมีสาระเท่านั้น ลงไป

ข้อนี้นั้นต่างจากการเล่น social network ตรงที่การตอบสนองของคนอ่านหรือเห็นจะตอบตรงกลับมาที่เนื้อหานั้น ไม่ใช่ตัวเรา แน่นอนคนที่ “เล่น” social network จะรู้สึกแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดว่าความน่าสนใจของการลงข้อความหรือรูปนั้นจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เราจะรู้สึกเหมือนมันเป็นการทำงานมากขึ้น และเราได้รับความพึงพอใจจากการลงข้อความทั้งที่ความถี่เท่าๆ กันน้อยลง

แต่นี่น่าจะเป็นวิธีที่ถูกกว่า สำหรับผม ณ วันนี้ ผมรู้สึกอย่างนี้ครับ

แก้ปัญหาในชีวิตจริง ด้วยการลงมือทำในชีวิตจริง

สิ่งที่ผมห่วงตอนนี้คือหน้าที่การงานของตัวเองที่อาจเสียโอกาสในการพัฒนาไปอย่างน่าเสียดายเพราะการเอาเวลาไปให้สังคมออนไลน์ กับคนในครอบครัวของเราที่กำลังเข้าใจว่าการแชทคือการมีครอบครัวของยุคสมัยปัจจุบัน ผมคงยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ นั่นคือสาเหตุที่ผมต้องยอมทิ้งอีกอย่างหนึ่งที่ไม่น่าจะสำคัญเพื่อรักษาอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าเอาไว้

ขอลองทำอย่างนี้ดูสักพักหนึ่ง แล้วไว้จะมาเขียนอีกครั้งหนึ่งว่าผ่านมาสักพักแล้ว หายหรือไม่ รู้สึกอย่างไร


เกร็ดเกี่ยวกับ Facebook

ตามภาพยนตร์เรื่อง The Social Network นั้น Facebook เกิดจากการแก้ปัญหาด้านความสัมพันธ์ของ Mark Zuckerberg ตามวิธีของเขาซึ่งอาจเยียวยาหัวใจเขาได้ แต่การที่ Facebook ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันนั้นก็อาจแปลความหมายได้สองอย่าง ว่าวิธีการของผู้สร้างนั้นอาจจะแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับคนในยุคที่ขาดจากความสัมพันธ์โดยสิ้นเชิงจริงๆ หรืออาจแปลว่าวิธีการอันรวบรัดตัดความของผู้สร้างนั้นได้ย่นย่อความหมายของสังคมอย่างประชดประชันจนทำให้เราเข้าใจความหมายของสังคมอย่างผิดเพี้ยนกันไปหมดแล้วก็ได้ ทั้งนี้เมื่อเราย้อนมองเหตุแห่งการสร้างเว็บไซต์นี้ขึ้นมาก็อาจบอกกับเราเป็นนัยๆ แล้วก็ได้ว่านิยามใดที่น่าจะใกล้เคียงกว่ากัน

Leave a comment

Leave a Reply

%d bloggers like this: